สืบสานภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย
โรคพาร์กินสันเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง พบในผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ทั้งเพศชายและหญิง โรคนี้ส่งผลให้เกิดอาการทางกาย ได้แก่ อาการสั่น เคลื่อนไหวช้า หน้านิ่ง พูดช้า พูดเสียงค่อย น้ำลายไหล ร่างกายแข็งเกร็ง เดินลำบาก เดินซอยเท้า อาการทางจิตใจ ได้แก่ ซึมเศร้า วิตกกังวล และอาการอื่นๆ เช่น ความจำระยะ สั้นไม่ค่อยดี เหงื่อออกมาก ท้องอืด ท้องผูก
สาเหตุสำคัญของการเกิดโรคพาร์กินสัน ได้แก่
1. เกิดจากอายุที่มากขึ้นทำให้ร่างกายเสื่อมลงและเกิดความผิดปกติของระบบประสาทได้
2. การรับประทานยานอนหลับ ยาลดความดันโลหิต ยากลุ่มต้านแคลเซียมบางชนิด
3. ได้รับสารพิษทำลายสมอง เช่น สารแมงกานีสในโรงงานถ่านไฟฉาย
4. สมองขาดออกซิเจน เช่น จมน้ำ ถูกบีบคอ เป็นต้น
5. ศีรษะถูกกระทบกระเทือนจากอุบัติเหตุ
6. เกิดจากโรคอื่นๆ เช่น โรคหลอดเลือดในสมองอุดตัน การอักเสบของสมอง หรือโรคทางพันธุกรรมบางชนิด
สำหรับวิธีการรักษาโรคพาร์กินสันนั้น นอกจากจะรักษาด้วยยา การผ่าตัด และการทำกายภาพบำบัดแล้ว ยังสามารถใช้การนวดรักษาและการประคบสมุนไพรด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทยประยุกต์ร่วมด้วย เพื่อช่วยบรรเทาอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ กระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิตทั่วร่างกาย ทำให้ร่างกายฟื้นฟูได้ดียิ่งขึ้น แต่อีกปัจจัยที่สำคัญในการดูแลผู้ป่วย คือ การเอาใจใส่จากคนรอบข้างในการฟื้นฟูร่างกาย เช่น อาจทำราวจับเพื่อให้ผู้ป่วยได้หัดเดิน ดูแลพื้นที่ภายในบ้านให้เรียบร้อย ป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยเดินสะดุดล้ม ฝึกให้ผู้ป่วยทำท่าบริหารต่างๆ เช่น ท่าชูมือเหนือศีรษะ ท่าแกว่งแขนสลับ ซ้าย-ขวา เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแขน ท่ายืนเขย่งปลายเท้า ท่าย้ำเท้า เพื่อให้กล้ามเนื้อขาแข็งแรง การเปลี่ยนช้อน ส้อม แก้วน้ำ ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อให้ผู้ป่วยจับได้ง่าย การดื่มน้ำมากๆอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้วป้องกันอาการท้องผูก การเคี้ยวอาหารให้ละเอียดป้องกันการสำลักอาหาร และ การฝึกทักษะต่างๆในการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การพูด รวมถึงการดูแลจิตใจของผู้ป่วยให้เข้มแข็ง
โรคพาร์กินสันเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบประสาท ทำให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตประจำวันอย่างยากลำบาก และยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต โดยสาเหตุมีด้วยกันหลายประการอย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น แต่โรคนี้สามารถดูแลรักษาและบรรเทาอาการให้ดีขึ้น โดยการใช้ยา ผ่าตัด กายภาพ หรือใช้ความรู้ทางศาสตร์การแพทย์แผนไทยประยุกต์ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเอาใจใส่จากคนรอบข้างในการฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ
ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์